ผักในโลกมีเป็นร้อยๆ สายพันธุ์ ซึ่งมีการจำแนกหลายแบบทั้งแยกตามหลักพฤกษศาสตร์, ตามอุณหภูมิและการเจริญ, ตามอายุของการปลูก, จำแนกตามความต้องการ และตามส่วนที่ต้องการบริโภค แต่ไม่ว่าจะเป็นการแยกแบบไหนก็ตาม ผัก 10 ชนิดต่อไปนี้ก็ล้วนมาพร้อมประโยชน์ที่มากมาย จนได้รับการจัดอันดับจาก USDA National Nutrient Database ให้เป็นผักที่มีประโยชน์ทางโภชนาการอยู่ในระดับสูง 10 อันดับ
No. 10 แครอท (Sweet potato)
ในแครอทมีเบต้าแคโรทีน เส้นใย สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน A, C, K และ B8 รวมทั้งกรด pantothenic โฟเลต โปแตสเซียม เหล็กทองแดง และแมงกานีส นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิต ทั้งยังเป็นแหล่งวิตามินซีที่อุดมไปด้วยซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้ ยังไม่รวมการมีไฟเบอร์ช่วยในการย่อยอาหารอีกมากมาย การกินแครอทที่อุดมด้วยเส้นใยช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ได้มากถึงร้อยละ 24
นอกจากนี้แครอทยังมีวิตามินเอช่วยปรับปรุงสายตาและป้องกันสภาพตาบอดกลางคืน และมีสารต้านอนุมูลอิสระจากแร่ธาตุที่ดีและยังช่วยกระตุ้นเหงือก เพิ่มน้ำลายมากเพื่อต่อสู้กับแบคทีเรียซึ่งอาจทำให้เกิดฟันผุ กลิ่นปากและความเสี่ยงต่อสุขภาพช่องปาก
No. 9 ผักแรดิชชิโอ (Radicchio)
เป็นผักที่สามารถต่อสู้กับการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ดี เพราะสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในผักชนิดนี้มีการต่อสู้กับเซลล์มะเร็งตับ และยั็งมีวิตามินเคที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ กระเพาะ และช่องปาก อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ทั้งยังเข้าไปซ่อมแซมอาการบาดเจ็บของตับที่เกิดจากความเครียด ช่วยในการจัดการน้ำหนักส่วนเกินและลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจเฉียบพลัน ช่วยให้ร่างกายสร้างและรักษากระดูกให้แข็งแรง
No. 8 มันฝรั่งหวาน (Sweet potato)
หากกินมันฝรั่งหวานแบบไม่ปอกเปลือกจะได้รับประโยชน์มากกว่ากินแบบปอกเปลือก โดยมันฝรั่งหวานมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของลำไส้ การลดคอเลสเตอรอลและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพราะในมันฝรั่งหวานประกอบด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอในช่วยในการปรับปรุงสายตาและป้องกันหรือรักษาสภาพตาช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันและช่วยรักษาหรือป้องกันโรคมะเร็ง และยัง มีวิตามินซี วิตามินอี โฟเลตที่ป้องกันโรคได้หลายชนิด โดยการปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันให้ดี นอกจากนี้ยังมีโพแทสเซียมและเหล็กที่เข้าไปช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดในสมองอุดตันได้ด้วย
No. 7 ผักกาดเขียวปลีหรือผักโสภณ (Mustard greens)
เรียกได้ว่าเป็นแหล่งวิตามิน A, C และ K ก็ว่าได้ โดยวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพ ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ วิตามินเอช่วยให้สายตาดี วิตามินเคช่วยสร้างมวลกระดูก และยังจำกัดความเสียหายของเส้นประสาทในสมอง มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการโจมตีของมะเร็งในร่างกาย นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งที่ดีในการผลิตสารอาหาร กรดไฮโดรไซซินมานิค, ไอโซเมธิน, เควอซิทิน และแคมพ์เฟอรอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญช่วยลดความเครียดจากการเกิดออกซิเดชันในเซลล์ในร่างกาย
นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ กระเพาะปัสสาวะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งรังไข่และมะเร็งปอด รวมถึงในผักกาดเขียวปลียังมีกำมะถันช่วยกระตุ้นกระบวนการล้างสารพิษในร่างกาย และทำให้มีผิวและผมสวยงาม
No. 6 ฟักทอง (Pumpkin)
ไม่ว่าจะเป็นฟักทองลูกเล็กหรือลูกใหญ่ก็ล้วนอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือ นอกจากนี้ยังมีโพแทสเซียมที่มีผลดีต่อความดันโลหิต พร้อมกันนี้สารต้านอนุมูลอิสระในฟักทองยังช่วยป้องกันความเสียหายที่เกิดจากความเสื่อมของดวงตาได้ นอกจากนี้ฟักทองยังเป็นแหล่งเบต้าแคโรทีนที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางชนิด ป้องกันโรคหอบหืด โรคหัวใจ ชะลอความชราและความเสื่อมของร่างกาย และฟักทองยังมีไฟเบอร์ที่ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดดีจึงดีมากต่อคนเป็นโรคเบาหวาน รวมทั้งช่วยให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ให้เป็นปกติและช่วยระบบการย่อยอาหาร และลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
No. 5 ผักเทอร์นิพ (Turnip greens)
มีวิตามินที่ละลายในไขมันและวิตามินที่ละลายน้ำได้ และยังเป็นแหล่งของสารประกอบกำมะถันที่มีชื่อเรียกว่า glucosinolates ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินซี ช่วยลดความเสี่ยงต่อความเครียดที่เกิดจากออกซิเดชั่น และโรคเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือดแดงและโรคไขข้ออักเสบ
No. 4 ผักสวิสชาร์ด (Swiss Chard)
พืชตระกูลเดียวกับบีทรูท แต่ไม่มีหัว นิยมกินใบและก้าน เป็นผักที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญ อย่างวิตามินบี ได้แก่ วิตามิน B1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามิน B6 กรดโฟโตเทนอล โฟเลตและโคลีน และมีแร่ธาตุมากมาย เช่น แมกนีเซียม เหล็ก แมงกานีส ทองแดง โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซีลีเนียมและสังกะสี วิตามินอีและวิตามินเอ รวมอยู่ในหมวดหมู่วิตามินที่ละลายในไขมัน และมีทั้งเส้นใย นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระในระดับดีเยี่ยม และมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบ
No. 3 ผักคะน้าฝรั่ง (Collard Greens)
เป็นผักที่นอกจากจะมีประโยชน?มากเป็นอันดับ 3 แล้ว ใบที่มีสีเขียวสดสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 10 วัน ถ้าแช่เย็นไว้ โดยประโยชน์ของผักชนิดนี้ที่เด่นชัดคือ มีความพิเศษสำหรับระบบร่างกายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนามะเร็งและการป้องกันโรคมะเร็ง นั่นคือ ระบบดีท็อกซ์ของร่างกาย ระบบต่อต้านอนุมูลอิสระและระบบอักเสบหรือต้านการอักเสบ ซึ่งความเรื้อรังในระบบทั้งสามนี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ และในผักคะน้าฝรั่งยังมีสาร Goitrogen ซึ่งมีผลทำให้ต่อมไทรอยด์ไม่จับกับไอโอดีน อันเป็นต้นเหตุให้เกิดของโรคคอหอยพอก
No. 2 ผักโขม (Spinach)
ไม่ผิดเลยที่ป๊อปอาจจะกินผักโขมแล้วมีพลัง เพราะผักโขมเป็นผักที่โดดเด่นในการฟื้นฟูพลังงาน เพิ่มพลังและปรับปรุงคุณภาพของเลือด เพราะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก แถมยังเป็นแหล่งวิตามินเค วิตามินเอ วิตามินซี และโฟเลตที่ดี รวมทั้งเป็นแหล่งแมงกานีส แมกนีเซียม เหล็ก และวิตามิน B2 ที่ดี ซึ่งวิตามินเคจะช่วยในการบำรุงรักษาสุขภาพกระดูก นอกจากนี้ผักโขมยังทำหน้าที่เป็นแหล่งอาหารเสริมต่างๆ ได้แก่ ไฟเบอร์ ฟอสฟอรัส วิตามินบี 1 สังกะสี โปรตีนและโคลีน และเป็นแหล่งรวมกรดไขมันโอเมก้า 3 วิตามินบี 3 , กรด pantothenic และซีลีเนียม
No. 1 ผักเคล (Kale)
ผักเคลหรือที่หลายคนเรียกว่าผักคะน้าใบหยิก มีทั้งสีเขียวและสีม่วง เป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูงที่สุดในโลกจนได้ชื่อว่าเป็น The queen of green หรือราชินีแห่งผัก นั่นเพราะผักเคลมีเส้นใยสูง ช่วยลดน้ำหนัก กินแล้วอิ่มนาน ทั้งยังช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ดี เปี่ยมด้วยธาตุเหล็กสูงมาก จึงช่วยบำรุงเลือด และยังมีวิตามินเคสูงช่วยป้องกันมะเร็ง รวมถึงดูแลสุขภาพกระดูกและการแข็งตัวของเลือด ซึ่งการที่มีวิตามินเคสูงเป้นสิ่งที่ดีสำหรับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์
นอกจากนี้ยังพบว่าผักเคลหนึ่งถ้วยอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ถึง 10% ช่วยในการต่อสู้กับโรคข้ออักเสบโรคหอบหืดและความผิดปกติของภูมิต้านทานเนื้อเยื่อ และยังมีวิตามินเอช่วยในการมองเห็นผิว ช่วยป้องกันมะเร็งปอดและช่องปาก
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะผักเคลยังช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันและมีแคลเซียมช่วยในการป้องกันการสูญเสียกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน ช่วยในการเผาผลาญอาหาร มีวิตามินซีที่เป็นประโยชน์ในการรักษากระดูกอ่อน และอุดมไปด้วยเส้นใยและกำมะถันดีสำหรับการล้างพิษร่างกายทำให้ตับมีสุขภาพดี
แต่ไม่ว่าจะประโยชน์เพียบแค่ไหน ในการกินผักเคลก็ยังมีข้อต้องระวังสำหรับผู้ป่วยไทรอยด์ เพราะไม่ควรกินดิบ จะทำให้เกิดไฮโปไทยรอยด์หรือไทรอยด์ต่ำได้
ข้อมูล : https://hellokhunmor.com/